เคยหรือไม่? รู้สึกตาไม่สู้แสง ไม่สบายตาเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า! คุณมีอาการ “ตาแพ้แสง” อย่ารอช้า…รีบหาวิธีรับมือก่อนเกิดผลเสียต่อสุขภาพตาในระยะยาว
“ตาแพ้แสง สู้แสงไม่ได้” อาการที่ไม่ควรมองข้าม!
ตาแพ้แสง (Photophobia) หรืออาการตาไม่สู้แสง เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเซลล์ในดวงตาที่ตรวจจับแสง และเส้นประสาทที่ส่งต่อไปยังสมอง มักเกิดจากอาการตาแห้งหรือโรคอื่น ๆ เช่น ไมเกรน ต้อกระจกในระยะต้น กระจกตาอักเสบ เป็นต้น
โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ตาไม่สู้แสง ต้องหรี่ตาเมื่อสัมผัสแสง
- รู้สึกตาแห้ง ไม่สบายตา
- แสบตา ระคายเคืองตา
- มีน้ำตาไหลออกมามาก
วิธีรับมือกับอาการตาแพ้แสงที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น ใช้น้ำตาเทียม สวมหมวกหรือแว่นตา และการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงดวงตา เช่น อาหารที่อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน
ลูทีน…สารอาหารที่เป็นมิตรต่อดวงตา
ลูทีน (Lutein) จัดเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบได้บริเวณจอประสาทตา (Macular) ถือเป็นสารสีในจอประสาทตาที่ทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้า ปกป้องดวงตาจากแสงแดด ช่วยเสริมสร้างการมองเห็น และมีคุณสมบัติช่วยลดอาการ “ตาแพ้แสง” ได้อีกด้วย
งานวิจัย บอกลา “ตาแพ้แสง” อย่างได้ผล ด้วย “ลูทีน”
ในปี 2020 มีงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น ที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลูทีน ในการเพิ่มความหนาแน่นของเม็ดสีที่จอประสาทตา และความสามารถในการแยกความแตกต่างของสี เมื่ออยู่ในที่แสงจ้าหรือในที่มืด เปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก โดยมีวิธีการทดลองดังนี้
1. คัดเลือกอาสาสมัคร
- อาสาสมัครเป็นเพศชายและหญิง อายุระหว่าง 20-69 ปี
- ไม่เคยได้รับการผ่าตัดแก้ไขสายตา และมีค่าสายตาปกติ
2. แบ่งกลุ่มการทดลอง
แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มที่ได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลูทีน 12 มก./วัน จำนวน 27 คน
- กลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) จำนวน 31 คน
ทำการทดลองเป็นระยะเวลา 16 สัปดาห์
3. วิธีวัดผลการทดลอง
วัดผลการทดลองด้วยการตรวจวัดสายตา โดยประเมินผลจาก…
- Macular pigment optical density (MPOD) หรือการวัดความหนาแน่นของสารสีที่จอประสาทตา
- Contrast sensitivity (CS) หรือความสามารถในการแยกความแตกต่างของสี
- Glare sensitivity หรือความสามารถในการแยกความแตกต่างของสีเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า และแสงสะท้อน
Contrast sensitivity และ Glare sensitivity เป็นการวัดความสามารถในการแยกความแตกต่างของสีในสภาวะที่แสงต่างกัน โดยใช้เครื่อง Contrast glare test CGT-2000 ที่มุมสายตาระดับ 4.0°
4. ผลการทดลอง
การวัดความหนาแน่นของสารสีที่จอประสาทตา (MPOD)
จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป 16 สัปดาห์ กลุ่มที่ได้รับ “ลูทีน” มีความหนาแน่นของสารสีที่จอประสาทตาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ที่ความหนาแน่นของสารสีมีค่าเท่าเดิม
ความสามารถในการแยกความแตกต่างของสี (Contrast sensitivity)
จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป 16 สัปดาห์ กลุ่มที่ได้รับ “ลูทีน” มีความสามารถในการแยกความต่างของสี “สูงกว่า” กลุ่มที่ได้รับยาหลอก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ความสามารถในการแยกความแตกต่างของสีเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า และแสงสะท้อน (Glare sensitivity)
จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป 16 สัปดาห์ กลุ่มที่ได้รับ “ลูทีน” มีความสามารถในการแยกความต่างของสีในสภาวะที่มีแสงจ้า และแสงสะท้อน “สูงกว่า” กลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
สรุปผลการทดลอง
การรับประทานลูทีน 12 มก./วัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 16 สัปดาห์ มีส่วนช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้นทั้งในสภาวะปกติ และมีแสงจ้า ดังนี้
- ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสารสีที่จอประสาทตา ซึ่งสารสีดังกล่าว ยิ่งมีปริมาณมาก ก็จะช่วยให้รู้สึกสบายตามากขึ้นเมื่อต้องเจอแสง และช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจกที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการตาแพ้แสงได้
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการแยกความแตกต่างของสี ทำให้การมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการแยกความแตกต่างของสีในสภาวะที่มีแสงจ้า และแสงสะท้อน ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อต้องอยู่ในที่ที่มีแสงจ้า
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก…
- Clinical Effects of Dietary Supplementation of Lutein with High Bio-Accessibility on Macular Pigment Optical Density and Contrast Sensitivity: A Randomized Double-Blind Placebo-Controlled Parallel-Group Comparison Trial [2020]
- Macular pigment optical density and visual quality of life [2021]
- Understanding Photophobia [2020]