เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ดวงตากับสมองเชื่อมถึงกัน” จึงไม่แปลกใจเลยว่า ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่มักมีอาการตาแพ้แสง สู้แสงไม่ได้ ซึ่งจากสถิติพบว่า มีผู้ป่วยไมเกรนมากถึง 80% ที่มีอาการตาแพ้แสงร่วมด้วย!!

แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ “โรคไมเกรน” และอาการ “ตาแพ้แสง” ให้มากขึ้นกันก่อนค่ะ 

ทำความรู้จัก “ไมเกรน”

ไมเกรน (Migraine) ถือเป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เกิดจากหลอดเลือดแดงในสมองมีการบีบตัว และคลายตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดหัวตุบ ๆ ข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง รอบกระบอกตา
  • รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน
  • ตาแพ้แสง

ผู้ป่วยไมเกรนบางราย จะมีอาการเตือนก่อนเริ่มปวดไมเกรน (Migraine with Aura) เช่น ตามองไม่เห็นชั่วคราว เห็นภาพเบลอ ภาพบิดเบี้ยว หรือเห็นแสงระยิบระยับ

ทำความรู้จัก “ตาแพ้แสง”

ตาแพ้แสง หรือ ตาไม่สู้แสง (Photophobia) เป็นภาวะที่ดวงตาไวต่อแสง ไม่สามารถทนต่อแสงได้ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ หลอดไฟ หรือแม้กระทั่งแสงจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์

งานวิจัยหลายฉบับชี้ว่า อาการตาแพ้แสง สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจาก “โรคไมเกรน”

“แสง” ตัวการสำคัญ! ที่กระตุ้นไมเกรน

เมื่อผู้ป่วยไมเกรน สัมผัสกับแสงจ้า แสงเหล่านี้จะกระตุ้นเซลล์ประสาทบริเวณจอประสาทตา (Retinal ganglion cell; RGC) แล้วส่งสัญญาณไปยังสมองส่วน “ทาลามัส” ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบประสาทที่รับความรู้สึกเจ็บปวดได้ (Trigeminovascular system) ทำให้เกิดอาการปวดไมเกรน และตาแพ้แสง สู้แสงไม่ได้

ยิ่งแสงจ้ามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ปวดไมเกรนมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังส่งผลให้รักษาไมเกรนยากขึ้นอีกด้วย

ป้องกันอาการตาแพ้แสง เพื่อลดการเกิด “ไมเกรน” อย่างไรดี?

หากมีอาการปวดหัวไมเกรน และเกิดภาวะตาแพ้แสงร่วมด้วย เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • สวมแว่นกรองแสง ที่ช่วยกรองแสงสีฟ้าและตัดแสงที่กระตุ้นไมเกรน
  • หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า ควรอยู่ในที่มืดและอากาศเย็น จะช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้น
  • ทานยาแก้ปวด จะช่วยลดอาการปวดศีรษะ อาการไวต่อแสง

นอกจากวิธีดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ให้ผลดีไม่แพ้กัน นั่นคือ การใช้สารสกัดจากธรรมชาติบำบัด อย่างการทานอาหารเสริมฟื้นบำรุงระบบประสาทและสมอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น