ผมร่วงไม่หยุด!! ผมบางจนเห็นหนังศีรษะชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยาบางประเภทที่คุณกำลังรับประทานอยู่ !!
ผมร่วง (Hair Loss) ถือเป็นปัญหาใหญ่กวนใจที่พบเจอได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ที่เกิดได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม การดูแลเส้นผมอย่างผิดวิธี อาหารที่เลือกรับประทาน รวมถึงยารักษาบางชนิดที่เรากำลังรับประทานอยู่ และแม้ปัญหาผมร่วงนี้จะไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่หากละเลยก็อาจนำไปสู่ปัญหาผมบางหรือหัวล้านได้เลยทีเดียว
ในกรณีที่จู่ ๆ ก็มีผมร่วงมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางโรค เช่น โรคไทรอยด์ โรคตับ โรคไต ระบบไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติและอื่น ๆ
“ยารักษาโรค” ทำให้ผมร่วงได้ ?
ยารักษาโรคบางชนิดสามารถส่งผลกับหนังศีรษะและรากผมของเราโดยตรง ทำให้เกิดการร่วงของเส้นผมได้ทันที และยังมียารักษาโรคบางชนิดที่ส่งผลข้างเคียง ก่อให้เกิดอาการผมร่วงได้ เช่น ยาที่ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ยาที่ส่งผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับและไต ยาที่มีผลทำลายสารอาหารสำคัญของเส้นผม ยาที่มีผลต่อโปรตีนในร่างกาย เป็นต้น
ตัวอย่างกลุ่มยาที่ทำให้ผมร่วง…
1. ยารักษาสิว
กลุ่มยารักษาสิวไอโซเทรติโนอิน (Isotretinoin) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ มีความสามารถในการรักษาสิวได้ดี แต่กรดวิตามินเอส่งผลต่อวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมโดยตรง และยังทำให้เยื่อบุอ่อนต่าง ๆ เกิดการแห้งแตก การทำงานของต่อมไขมันซึ่งถือเป็นสารอาหารสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผมลดลง จนนำไปสู่ภาวะผมร่วงได้นั่นเอง
2. ยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดตามท้องตลาดมักมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสติน (Progestin) ซึ่งฮอร์โมนทั้ง 2 ตัวนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสามารถเปลี่ยนเป็น DHT หรือ ไดไฮโดรเทสโตสเตอโรน (Dihydrotestosterone) ที่มีฤทธิ์ในการทำลายรากผมและทำให้เกิดปัญหา “ผมร่วง ผมบาง” ตามมาได้
สำหรับบางคนอาจไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้หลังการรับประทานยาคุมกำเนิด หรือช่วงเป็นประจำเดือน จะพบปัญหาผมร่วงมากเป็นพิเศษ
3. ยาลดน้ำหนัก
ยาลดน้ำหนักส่วนมาก มักส่งผลให้ไม่อยากรับประทานอาหาร และยาลดน้ำหนักบางตัวอาจมีความสามารถในการขัดขวางการดูดซึมสารอาหารสำคัญบางชนิด อันนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหาร และนำไปสู่ปัญหาผมร่วงได้ในที่สุด
ยิ่งหากรับประทานยาลดน้ำหนักร่วมกับการอดอาหาร ก็นับว่ายิ่งเพิ่มความเสี่ยงกับปัญหาผมร่วง เพราะการควบคุมแคลอรีในปริมาณที่ไม่เหมาะสมจะทำให้รากผมได้รับพลังงานและโปรตีนไม่เพียงพอ
4. ยาลดความดันโลหิต
ในปัจจุบันมียาลดความดันโลหิตให้เลือกหลากหลายประเภท ซึ่งการออกฤทธิ์ก็จะแตกต่างกัน บางตัวมีความสามารถในการขยายหลอดเลือด บางตัวมีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งการทำงานของยาลดความดันโลหิตนี้จะส่งผลให้ระบบเลือดไหลเวียนผิดปกติไปจากเดิม วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมเกิดการเปลี่ยนแปลง จนทำให้เกิดปัญหา “ผมร่วง” ตามมา
ในปัจจุบันมียาลดความดันโลหิตประเภท ไมนอกซิดิล (Minoxidil) ที่มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการผมร่วง และทำให้ขนส่วนอื่น ๆ ยาวเร็วขึ้นได้ คนทั่วไปที่มีปัญหาผมร่วง จึงมักจะขอคำแนะนำจากแพทย์ในการรับประทานยาชนิดนี้เพื่อรักษาอาการผมร่วง ผมบาง
ยาลดความดันโลหิตประเภทไมนอกซิดิล ต้องให้แพทย์จ่ายเท่านั้น เพราะอาจเกิดอาการแพ้ในบางรายได้ เช่น ขาบวม ตัวบวม คลื่นไส้
5. ยาลดความเครียด
ยาลดความเครียด ส่วนมากมักมีความสามารถในการควบคุมการหลั่งสารเคมีในสมอง เพื่อปรับให้สารเคมีในสมองเกิดความสมดุลและเป็นปกติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของการหลั่งสารเคมีในสมองนี้จะส่งผลต่อวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน เกิดการหดหรือขยายของรูขุมขน ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้นั่นเอง
หากคุณเป็นคนที่ผมร่วงมากอยู่แล้ว หรือกลัวปัญหาผมร่วงจากผลข้างเคียงของยาลดความเครียด สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับยาได้
รู้ได้อย่างไรว่ายาที่รับประทานอยู่ทำให้ “ผมร่วง” ?
วิธีสังเกตที่ง่ายที่สุด คือ สังเกตจากปริมาณผมที่ร่วงระหว่างก่อนและหลังรับประทานยานั้น ๆ ว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าคุณรับประทานยาชนิดนั้น ๆ มาเป็นระยะเวลานาน ร่วมกับอาการผมร่วงมากเป็นปกติอยู่แล้ว ควรขอคำแนะนำจากแพทย์เพิ่มเติม หรือทำการตรวจสอบหนังศีรษะและรากผมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผมร่วง
หากปัญหาผมร่วงนี้เกิดจากยาที่รับประทาน เมื่อหยุดยาเส้นผมก็จะงอกขึ้นใหม่ตามปกติ แต่หากหลังหยุดยา 1-3 เดือน แต่เส้นผมยังร่วงและไม่มีการงอกใหม่ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังศีรษะทันที
วิธีบรรเทาปัญหา “ผมร่วง” ง่าย ๆ ด้วยตนเอง
- สระและหวีผมให้ถูกวิธี
- หลีกเลี่ยงการทำเคมีและความร้อน
- นวดหนังศีรษะอย่างเบามือ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- เลือกแชมพูและครีมบำรุงผมที่เหมาะกับหนังศีรษะของตัวเอง
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เช่น โปรตีน ซิงค์ ไบโอติน เป็นต้น
แม้โรคบางโรคจะต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยารักษาโรคบางประเภทยังมีผลทำให้ “ผมร่วง” ได้ แต่การศึกษาถึงผลข้างเคียงก่อนเลือกรับประทานยาชนิดนั้น ๆ จะช่วยให้คุณและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถวางแผนรับมือกับผลข้างเคียงดังกล่าว พร้อมกับเตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการรักษาได้นะคะ