หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Nucleus pulpous) เกิดจาก หมอนรองกระดูกอ่อนแอและเสื่อมสภาพ เมื่อถูกกดทับหรือฉีกขาด ทำให้ปลิ้นออกมาทับกับ เส้นประสาทที่สันหลังส่งผลให้มีอาการปวดและชา บริเวณเอว หลังหรือสะโพก ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ขาและข้อเท้าได้

ภาพเปรียบเทียบ “หมอนรองกระดูกปกติ” กับ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท”

ภาพเปรียบเทียระหว่าง หมอนรองกระดูกปกติกับหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิด “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” มี 5 ปัจจัย ดังนี้

1. อายุและเพศ

เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายก็เสื่อมไปตามเวลา เช่นเดียวกับหมอนรองกระดูกที่เสื่อมสภาพและบางลง ทำให้ปลิ้นไปทับเส้นประสาทได้ง่าย จนเป็นเหตุให้เกิด “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท”

ภาพแสดงถึงผู้สูงอายุมีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

โดยส่วนใหญ่เพศหญิงมักจะมีโอกาสเป็น “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” มากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า เนื่องจากเพศหญิงต้องมีการตั้งครรภ์ ส่งผลให้เกิดการดึงรั้งของแนวกระดูกสันหลัง รวมไปถึงหมอนรองกระดูกต้องแบกรับน้ำหนักมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ได้

2. น้ำหนักตัวมาก (โรคอ้วน)

การที่มีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน (obesity) จะส่งผลให้หลังและกระดูกสันหลังส่วนล่างต้องรับต้องรับน้ำหนักมาก ทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสเสื่อมสภาพและปริ้นออกมาทับเส้นประสาทง่ายกว่าคนที่มีรูปร่างผอม

ภาพแสดงถึงคนที่มีน้ำหนักมากทำให้เสี่ยงหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

นอกจากนี้โรคอ้วนยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้อีกด้วย เนื่องจากข้อเข่าเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนักทุกส่วนของร่างกาย การมีน้ำหนักตัวมากจึงมีผลให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วมากขึ้น

3. อุบัติเหตุ – แบกของหนัก

การได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณหลัง อาจทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับถูกเส้นประสาทได้

ภาพแสดงถึงคนยกของหนักจนเกิดอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

รวมไปถึงการแบกของหนัก ๆ เป็นประจำก็อาจทำให้เกิดอาการ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ได้เช่นกัน เนื่องจากการแบกของขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก ต้องใช้กล้ามเนื้อหลังแทนกล้ามเนื้อขาและต้นขา ส่งผลให้หมอนรองกระดูกบิดและเคลื่อนได้

4. สูบบุหรี่จัด

ภาพแสดงถึงคนสูบบุหรี่

เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิด “หมอนรองกระดูกเสื่อม” และ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณหมอนรองกระดูกหรือกระดูกสันหลังได้ไม่ดี ระบบไหลเวียนเลือดทำงานช้าลง ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วก่อนเวลาอันควร

นอกจากนี้งานวิจัยหลายฉบับยังค้นพบว่า… กลุ่มคนที่สูบบุหรี่จัดมีโอกาสปวดหลังมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า

5. ใช้งานผิดท่าเป็นประจำ

ปัจจัยเสี่ยงนี้พบได้บ่อยกับหนุ่มสาวคนเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานในออฟฟิศ ที่ต้องทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ทำให้ปวดหลัง ปวดต้นคอเรื้อรัง จนเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้ ไม่ดูแลตัวเอง อาจนำไปสู่โรคที่ร้ายแรงกว่านั่นคือ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ได้

ภาพแสดงถึงพนักงานออฟฟิศที่มีอาการปวดหลัง

“โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะมีอาการที่รุนแรงกว่าโรคออฟฟิศซินโดรม ปวดทรมานจนส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน และหากปล่อยไว้นานจนเส้นประสาททำงานได้น้อยลงทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไปจนถึงไม่สามารถควบคุมแขนขาได้”

สำหรับการรักษา “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ในแบบเบื้องต้นนั้น หากผู้ป่วยมีอาการปวดที่เกิดจากการกดทับของเส้นประสาทและเกิดจากการอักเสบ จะใช้วิธีการรักษาโดยให้ยาแก้ปวด NSAID หากยังไม่ดีขึ้นและมีอาการปวดมากกว่าเดิม อาจใช้การรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การทำกายภาพบำบัดหรือใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อช่วยระงับอาการปวด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหนัก แพทย์จะใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อนำเอาหมอนรองกระดูกออก

ยา NSAID คือ ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สารสเตียรอยด์

“โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” หากเป็นแล้วจะเกิดความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเราจึงควรใส่ใจดูแลตนเอง หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ไม่ยกของหนักจนเกินไป ไม่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ หรือเลือกทานอาหารเสริมที่มีคอลลาเจนไทป์ทูเพื่อเสริมสร้างหมอนรองกระดูกให้แข็งแรง

อ้างอิง : https://www.merckmanuals.com/professional/musculoskeletal-and-connective-tissue-disorders/neck-and-back-pain/herniated-nucleus-pulposus