เมื่อพูดถึงโรครูมาตอยด์ เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูกันดี เพราะถือเป็นโรคยอดฮิต ที่ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมือ ข้อนิ้วมือ ซึ่งรู้ไหมว่า? หากอาการรุนแรงมากขึ้น ก็จะเริ่มปวดเข่า เข่าอักเสบ จนอาจเสี่ยงเป็น “ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)” ได้!!

รูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคที่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนวัย 30-40 ปี

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เร่งการเกิด “ข้อเข่าเสื่อม” ได้เช่นเดียวกัน เช่น อายุ มีน้ำหนักตัวมาก รวมถึงพฤติกรรมการใช้ข้อเข่าอย่างหักโหมอยู่เป็นประจำ

รูมาตอยด์ ตัวร้ายทำลายกระดูก

ต้องขออธิบายก่อนว่า “รูมาตอยด์” เป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบเรื้อรัง ที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ จนภูมิคุ้มกันทำลายข้อตัวเอง ส่งผลให้เยื่อบุข้อเกิดการอักเสบและหนาตัวขึ้น

การอักเสบของเยื่อบุข้อนี่เอง ที่เป็นตัวการในการทำลายกระดูก กระดูกอ่อน รวมถึงเนื้อเยื่อรอบข้อต่าง ๆ

ทำให้ผู้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ มีอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดข้อ ข้ออักเสบ บวมแดง โดยเฉพาะบริเวณข้อนิ้วมือและข้อมือ มากกว่า 6 สัปดาห์
  • หากมีอาการรุนแรงขึ้น จะเริ่มปวดเข่า ข้อเท้า ข้อศอก ข้อไหล่ 
  • มักรู้สึกข้อฝืด ข้อตึง และเคลื่อนไหวลำบากหลังจากตื่นนอนตอนเช้า
  • นอกจากอาการทางข้อแล้ว ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร เป็นต้น

อาการปวดเข่า ปวดข้อที่เกิดขึ้น หากเป็นมากจนเรื้อรัง จะนำไปสู่การเกิด “ข้อเข่าเสื่อม” ได้ในที่สุด

จากรูมาตอยด์ สู่ “ข้อเข่าเสื่อม”

เนื่องจากกระดูกอ่อนรอบข้อต่าง ๆ รวมถึงข้อเข่า ของผู้ป่วยรูมาตอยด์ได้ถูกทำลายไป สิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กระดูกอ่อน รวมถึงหมอนรองกระดูกบริเวณข้อเข่าค่อย ๆ เสื่อมสภาพหรือสึกกร่อน  จนเกิดเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” ตามมานั่นเอง

ผลจากการเกิด “ข้อเข่าเสื่อม” จะทำให้ข้อเข่าอักเสบ รู้สึกปวดบวมที่ข้อเข่า เข่าฝืด ข้อยึดติด และทำให้เคลื่อนไหวลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก!!

ถึงแม้ว่า ปัญหาโรคข้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อเข่าเสื่อม และรูมาตอยด์ อาจไม่ร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิต แต่หากปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลให้ดี จนเป็นหนักขึ้น อาจทำให้ข้อต่อ ข้อเข่าค่อย ๆ บิดเบี้ยว ผิดรูป จนกลายเป็นข้อพิการในที่สุด

“เริ่มต้นดูแลข้อต่อ และข้อเข่าของคุณตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินแก้นะคะ”