แม้ว่าหัวใจจะเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงสูงและทำงานต่อเนื่องตลอดชีวิต แต่หัวใจเองก็สามารถเกิดการเสื่อมสภาพลงได้อย่างช้า ๆ โดยไม่ปรากฏอาการเด่นชัดในระยะเริ่มต้น นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า ภาวะหัวใจเสื่อมแบบแฝง (Subclinical Cardiac Dysfunction) ซึ่งเป็นภาวะที่มักถูกมองข้าม

          โดยในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยจำนวนมากมารับการวินิจฉัยในระยะที่โรคลุกลามไปไกลแล้ว ทั้งที่ร่างกายได้ส่ง “สัญญาณเตือน” ล่วงหน้ามาแล้วหลายเดือนหรือแม้แต่เป็นปี โดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ตัว บทความนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอาการเตือนภัยของหัวใจเสื่อมที่อาจดูเหมือนเล็กน้อย แต่ในทางคลินิกถือว่า “มีนัยสำคัญ” อย่างมาก

1. หายใจลำบากขณะทำกิจกรรมเบา ๆ

          อาการเหนื่อยง่าย แม้เพียงแค่เดินในระยะสั้นหรือขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น เป็นหนึ่งในสัญญาณที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่หัวใจเริ่มเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะภาวะหัวใจล้มเหลวซ้าย (Left-sided Heart Failure) ซึ่งทำให้เลือดไหลกลับปอดมากกว่าปกติ เกิดการคั่งของของเหลวในถุงลมปอด ส่งผลให้รู้สึกหอบเหนื่อยแม้ไม่ได้ใช้แรงมาก

หากผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยและหายใจติดขัดขณะนอนราบ อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจเสื่อม ควรเข้ารับการตรวจ Echocardiogram ซึ่งเป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงเพื่อดูการทำงานของหัวใจอย่างละเอียด

2. ต้องนั่งหลับ หรือตื่นกลางดึกเพราะหายใจไม่ทัน

          ผู้ป่วยหลายรายมักไม่เข้าใจว่าการที่ตนเอง “ต้องนั่งหลับ” หรือ “ตื่นกลางดึกมาหายใจลึก” อาจเป็นผลจากการคั่งของน้ำในปอดขณะนอนราบ ซึ่งเป็นอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังในระยะต้น การประเมินอาการนี้อย่างใกล้ชิดสามารถช่วยลดอัตราการเกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันในอนาคต

3. อาการบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ

การบวมที่ข้อเท้า หน้าแข้ง หรือบริเวณหน้าท้อง โดยเฉพาะในช่วงเย็น หรือหลังยืนนาน ๆ เป็นผลจากการคั่งของน้ำในระบบหลอดเลือดดำ ซึ่งพบได้ในภาวะหัวใจขวาล้มเหลว (Right-sided Heart Failure) นอกจากนี้ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 1–2 กิโลกรัมในช่วงสั้น ๆ ก็อาจบ่งชี้ถึงการสะสมของของเหลว ไม่ใช่ไขมัน

4. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องอืดเรื้อรัง

          ภาวะหัวใจเสื่อมสามารถทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง ส่งผลให้การทำงานของลำไส้ช้าลง เกิดอาการท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ในทางคลินิกถือเป็น “อาการในระบบทางเดินอาหารที่สัมพันธ์กับหัวใจ” ซึ่งมักตรวจพบในผู้ป่วยสูงวัยหรือผู้ที่มีโรคร่วม

5. ใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นช่วง ๆ

อาการใจสั่น วูบ หรือรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นข้ามจังหวะ อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ เช่น Atrial Fibrillation หรือ Ventricular Ectopy ซึ่งเป็นภาวะที่มักพบร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจที่เริ่มเสื่อม การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ มีบทบาทสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน

6. เหนื่อยล้าเรื้อรัง สมองล้า และประสิทธิภาพการทำงานลดลง

          หนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยแต่ถูกละเลยคือ ความเหนื่อยล้าโดยไม่มีสาเหตุเฉพาะ หรือรู้สึกไม่มีแรงตลอดวัน การที่หัวใจส่งเลือดไปยังสมองและกล้ามเนื้อลดลง ทำให้เกิดภาวะ “cognitive fog” หรือสมองล้าได้ ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความจำระยะสั้น และการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน

7. เหงื่อออกผิดปกติ มือเท้าเย็น

         แม้ในภาวะอากาศเย็น ผู้ป่วยบางรายกลับมีเหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณหลังคอ หน้าอก หรือฝ่ามือ นี่อาจเป็นผลจากการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจทำงานหนัก ร่วมกับภาวะเลือดไปเลี้ยงผิวหนังไม่เพียงพอ ส่งผลให้ปลายมือปลายเท้าเย็นกว่าปกติ

8. ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น หงุดหงิด ซึมเศร้า วิตกกังวล

        ข้อมูลจาก American College of Cardiology ชี้ว่า ภาวะหัวใจเสื่อมเรื้อรังมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล ซึ่งเกิดจากการที่สารสื่อประสาทบางตัว เช่น เซโรโทนิน (serotonin) และโดพามีน (dopamine) ผันผวนตามระดับออกซิเจนและเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง

แนวทางการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ตรวจวัดความดันโลหิต และชีพจรเป็นประจำ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ปีละครั้ง หรือ หากมีประวัติครอบครัวหรือโรคประจำตัว ควรพิจารณาตรวจ Echocardiogram และ Blood Biomarkers เช่น NT-proBNP

          หัวใจเสื่อมไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นทันที แต่เป็นผลสะสมจากพฤติกรรม สุขภาพ และปัจจัยแวดล้อมหลายประการ โดยที่ร่างกายมักส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่องก่อนจะเข้าสู่ภาวะรุนแรง ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ทุกคนฝึกสังเกตร่างกายให้ถี่ถ้วน และไม่มองข้ามอาการเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ

“การวินิจฉัยโรคได้เร็ว 1 ปี อาจเท่ากับการยืดชีวิตออกไปอีก 10 ปี”

อ้างอิง